โรคเกี่ยวกับดวงตา เช่น สายตาสั้น สายตาเอียง ตาแห้ง จุดภาพชัดเสื่อม ต้อหิน ต้อเนื้อ และต้อกระจก เปรียบเสมือน 'ฆาตกรเงียบ' โดยเฉพาะโรคต้อกระจกซึ่งเป็นสาเหตุอันดับต้นๆ ของการสูญเสียการมองเห็น หากไม่ได้รับการดูแลอย่างทันท่วงที อาจลุกลามจนการมองเห็นเสื่อมถาวรหรือถึงขั้นตาบอดได้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่ามีผู้คนนับร้อยล้านทั่วโลกที่เผชิญกับปัญหาดังกล่าว และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากวิถีชีวิตยุคใหม่และการใช้งานอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
นพ. อธิปัตย์ วิริยะวงศ์ - จักษุแพทย์ชั้นนำของประเทศไทย ผู้เชี่ยวชาญ
ด้านการดูแลและรักษาโรคเกี่ยวกับดวงตา
หากต้องการฟื้นฟูและดูแลสุขภาพดวงตา อย่างมีประสิทธิภาพ อันดับแรกเราจำเป็น ต้องเข้าใจสาเหตุที่แท้จริงของโรคเกี่ยวกับ ดวงตาให้ถูกต้องและครบถ้วนก่อน
ในประเทศไทย หลายคนยังเชื่อว่าโรคตาเกิดจากพฤติกรรมไม่ดีต่อสุขภาพ เช่น จ้องหน้าจอนาน พักผ่อนไม่เพียงพอ หรือใส่แว่นตาไม่ถูกต้อง แม้ความเชื่อนี้ไม่ผิดทั้งหมด แต่ก็ไม่อธิบายได้ว่าทำไมบางคนยังมีสายตาดี ขณะที่บางคนกลับมีปัญหาต้อกระจกและการมองเห็นรุนแรง
สิ่งนี้ทำให้วงการแพทย์ต้องตั้งคำถามว่า: แล้วสาเหตุที่แท้จริงของโรคต้อกระจกและโรคดวงตาอื่นๆ คืออะไรกันแน่?
หากต้องการฟื้นฟูและดูแลสุขภาพดวงตาอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการป้องกันและบรรเทาโรคต้อกระจก อันดับแรกเราจำเป็นต้องเข้าใจสาเหตุที่แท้จริงของโรคเกี่ยวกับดวงตาให้ถูกต้องและครบถ้วนก่อน
กระบวนการนี้มักไม่มีอาการที่ชัดเจนในระยะแรก ทำให้หลายคนไม่รู้ตัวว่ากำลังเผชิญปัญหาดวงตา จนกว่าจะเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง
อาการเตือนที่มักถูกมองข้าม
เมื่อโรคเริ่มพัฒนา อาจมีอาการบางอย่างปรากฏขึ้น เช่น:
→ สายตาพร่ามัว โดยเฉพาะเมื่อใช้งานหน้าจอนานหรือในที่มีแสงน้อย
→ มองเห็นภาพเบลอ บิดเบี้ยว หรือเห็นจุดดำลอยไปมา
→ เมื่อยล้าดวงตา ปวดรอบดวงตาหลังอ่านหนังสือหรือตอนขับรถ
→ ตาแห้ง ระคายเคืองเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมในตา
→ แพ้แสง หรือแสบตาเมื่อเจอแสงจ้า
→ เนื้องอกเล็ก ๆ สีชมพูบริเวณตาขาว ที่ค่อย ๆ ลามเข้าตาดำ (ต้อเนื้อ)
งานวิจัยทางการแพทย์สมัยใหม่จากมหาวิทยาลัยและสถาบันจักษุวิทยาชั้นนำในญี่ปุ่น สหรัฐฯ และยุโรป พบว่า ความเสื่อมและความเสียหายของหลอดเลือดฝอยและเซลล์จอประสาทตา คือปัจจัยหลักของโรคตาหลายชนิด — เช่น ต้อกระจก สายตาสั้น จุดภาพชัดเสื่อม และต้อหิน ซึ่งความผิดปกติเหล่านี้ทำให้การไหลเวียนโลหิตและการแลกเปลี่ยนสารอาหารในดวงตาบกพร่อง นำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นอย่างต่อเนื่องหากไม่ได้รับการดูแล
กลไกที่เงียบแต่แฝงไปด้วยอันตราย: ความเสื่อมของหลอดเลือดฝอยและจอประสาทตา
เมื่อหลอดเลือดฝอยในดวงตาเริ่มเสื่อมและเปราะบางมากขึ้น ผนังหลอดเลือดจะสูญเสียความยืดหยุ่นและเกิดความเสียหาย ส่งผลให้การไหลเวียนของเลือดและออกซิเจนไปยังจอประสาทตาถูกจำกัด
เมื่อเซลล์ดวงตาขาดสารอาหารอย่างต่อเนื่อง จะเกิดความผิดปกติในการทำงาน นำไปสู่อาการตามัว ตาแห้ง ความดันในลูกตาเพิ่มขึ้น เร่งการเสื่อมของจุดภาพชัด และกระตุ้นให้เกิดภาวะผิดปกติ เช่น ต้อกระจก ที่เลนส์ตาค่อย ๆ ขุ่นมัวและบดบังการมองเห็น ทำให้การมองเห็นแย่ลงอย่างต่อเนื่อง